top of page
รูปภาพนักเขียนEntrepreneurship plus

สร้างสภาพแวดล้อมส่งเสริม Well-being Workplace ในองค์กรด้วยหลักสูตร Doing to Done


Well-being Workplace

Well-being Workplace เป็นแนวคิดการสร้างสุขภาวะอยู่ดีมีสุขในการทำงาน โดยในปัจจุบันหลาย ๆ องค์กรก็เริ่มให้ความสำคัญกับการเป็นอยู่ที่ดีของพนักงาน ตั้งแต่โลกของเราได้เผชิญกับโรค COVID-19 ทำให้แต่ละองค์กรได้เจอปัญหาหลายอย่างเข้ามา อย่างเช่น การปรับตัวในช่วงโรคระบาด ที่ต้องเปลี่ยนจากทำงานที่บริษัทต้องหันมาทำงานแบบ WFH (Work From Home) ความเครียดจากสภาวะเศรษฐกิจ เพราะโรค COVID-19 ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ธุรกิจต้องปิดตัวลงหรือลดจำนวนพนักงาน 


สิ่งเหล่านี้เป็นสาเหตุที่ทำให้คนเกิดความเครียด กังวล จนเกิดการทำงานที่หนักขึ้นจนลืมดูแลตัวเอง ลืมสร้างความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง จึงมีการนำ Well-being Workplace เข้ามาเพื่อช่วยสร้างแนวคิดความเป็นอยู่ที่ดี ซึ่งการดูแลสุขภาพจิตและการป้องกันความเครียดในที่ทำงานถือเป็นหัวใจหลักที่จะนำไปสู่การสร้างสุขภาวะอยู่ดีมีสุข


Well-being Workplace

Doing to Done เป็นเครื่องมือทรงพลังที่จะช่วยสร้างความสำเร็จและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้มีความ Productive แบบง่าย ๆ และรวดเร็ว ซึ่งหลักสูตรนี้ให้ความสำคัญกับการลงมือทำเพื่อเป้าหมายเล็ก ๆ ให้สำเร็จแบบ Small Win และพร้อมที่จะสร้างความสุขทั้งชีวิตงานและส่วนตัว พัฒนาความสัมพันธ์กับคนรอบข้างมากขึ้น 


หนังสือ Doing to Done

โดย Mike Willaim เจ้าของหลักสูตร Doing to Done ได้มอบแนวทางที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการปัญหาเหล่านี้ หนังสือเล่มนี้เสนอกรอบการทำงานที่เน้นการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ลดความเครียด และส่งเสริมความสุขในที่ทำงาน ซึ่งสามารถนำไปปรับใช้ในการบริหารจัดการ HR เพื่อสร้างความยั่งยืนในองค์กรได้ดังนี้ :


1. สร้างระบบการจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ 


Well-being Workplace

Doing to Done สร้างระบบการจัดการและจัดตารางชีวิตที่ไว้ใจได้ Trusted system ด้วยการใช้ Work beat หรือ จังหวะงานที่จะทำซ้ำได้ สร้างความสำเร็จเล็กๆ ที่จะเกิดขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง ผ่านการทบทวน เรียนรู้ พัฒนาต่อยอด และจะค่อยๆสะสมความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง สู่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ช่วยให้พนักงานสามารถโฟกัสกับงานที่สำคัญและสร้างผลลัพธ์ที่ดีขึ้น


2. สร้างวัฒนธรรมการทำงานที่เน้นความร่วมมือ


Well-being Workplace

Doing to Done สร้างความชัดเจนของโปรเจ็คด้วย Project Clarity Map เพิ่มประสิทธิภาพของการทำงานเป็นทีมให้ดียิ่งขึ้น  การสร้างวัฒนธรรมการทำงานที่เน้นการสื่อสารและความร่วมมือในทีมงาน ช่วยลดความเครียดจากการทำงานที่โดดเดี่ยวและเพิ่มความเข้าใจในทีม การทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพช่วยเสริมสร้างความสามัคคีและทำให้องค์กรสามารถบรรลุเป้าหมายได้อย่างยั่งยืน


3. สร้างสมดุลระหว่างการทำงานและการใช้ชีวิตส่วนตัว


Well-being Workplace

Doing to Done สร้างระบบการจัดการให้ครบทุกบทบาทที่รับผิดชอบทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว  มีหลักการให้เขียนเป้าหมายและเข้าใจในแต่ละบทบาทชีวิตด้วย Role Clarity Map มุ่งเน้นการสร้างสมดุลระหว่างการทำงานและการใช้ชีวิตส่วนตัว (Work-Life Balance) ทำให้พนักงานมีความสุขและสุขภาพดีขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในระยะยาว


4. ลดความเครียดและเพิ่มความสุขในการทำงาน


Well-being Workplace

เครื่องมือ Doing to Done Framework & Template เปลี่ยนความวุ่นวายให้เป็นความชัดเจน สร้างระบบการทำงานที่เป็นระเบียบ ด้วยการผสมผสานการใช้ Technology และ Digital Tools การมีระบบการทำงานที่มีประสิทธิภาพและลดความเครียด ช่วยให้พนักงานมีเวลาและพลังงานในการคิดค้นและพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ส่งเสริมการคิดเชิงสร้างสรรค์ ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาความสามารถในการแข่งขันและความยั่งยืนขององค์กร


บทสรุป

การใส่ใจในการสร้าง Well-being Workplace และดูแล Work-Life Balance มีความสำคัญอย่างยิ่ง การสร้างความยั่งยืนใน HR โดยการป้องกันและแก้ปัญหาความเครียดของคนในองค์กร สามารถทำได้ผ่านหลักการจากหนังสือ "Doing to Done" โดย Mike Williams เป็นหนังสือภาพ ตัวหนังสือน้อย อ่านง่าย เข้าใจง่าย เหมาะกับคนที่มีเวลาน้อย หนังสือมี Framework ช่วยให้ลงมือทำตามง่ายๆ ทำได้จริงและมีบทสรุปย่อท้ายบท เหมาะกับคนที่อยาก Take action เพื่อยกระดับความสำเร็จ เน้นการจัดการเวลาและงานอย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเครียดและเพิ่มความสุขในการทำงาน ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม และการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้องค์กรสามารถมีสุขภาวะอยู่ดีมีสุขหรือ Wellbeing ได้




Comments


bottom of page